การใช้ Nouns คำนามคืออะไร มีกี่แบบ กี่ประเภท การเปลี่ยนรูป เอกพจน์ พหูพจน์
Noun คืออะไร
เรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง Noun การใช้คำนามในภาษาอังกฤษ การแยกคำนามออกเป็นประเภทต่างๆ เบื้องต้น และกฎการเปลี่ยนรูปคำนามเอกพจน์ ให้เป็นคำนามพูพจน์
Noun คือ คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ และสิ่งของ ซึ่งนับจำนวนได้และนับจำนวนไม่ได้ โดยหน้าที่ของ Noun (คำนาม) ที่สำคัญมีดังนี้
Noun ตัวอย่างประโยค
1. เป็นประธานของกิริยา (subject of Verb) จะอยู่หน้ากิริยา
– Horses eat grass.
2. เป็นกรรมของกิริยา (object of Verb) จะอยู่หลังกิริยา ซึ่งเป็นได้ทั้งกรรมตรง (direct object) และกรรมรอง (indirect object)
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
– Horses eat grass. (กรรมตรง)
– John gives his friend a pen. (กรรมรอง)
3. เป็นกรรมของบุพบท (object of preposition) จะอยู่หลังคำบุพบท
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
– Mary talked to her children.
– John borrowed notebook from his friend.
4. ทำให้ประโยคมีความหมายสมบูรณ์ขึ้น โดยถ้าต้องการให้ประธานมีความหมายสมบูรณ์จะต้องอยู่หลัง Verb to be หรือ ถ้าต้องการให้กรรมมีความหมายสมบูรณ์ขึ้นต้องอยู่หลังกรรม
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
– Mary is a doctor.
– John chose this pen a birthday gift.
5. ประกอบนาม (noun adjunct) ทำหน้าที่เหมือนคำคุณศัพท์อยู่หน้านาม
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
– We will meet you at this coffee shop.
6. ขยายคำนาม ที่เป็นประธานและเป็นกรรม โดยขยายประธานจะอยู่หลังคำนามที่เป็นประธาน และขยายกรรม จะอยู่หลังคำนามที่เป็นกรรมของประโยค
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
– Sombat, a famous actor, plays tennis.
– We visited Chiangmai , the North of Thailand.
Compound Nouns คืออะไร
Compound Nouns หมายถึง คำนามที่เกิดจากการประสมคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป ได้แก่
1. คำนามประสมที่เกิดจากผสมคำนาม 2 คำ มีลักษณะเป็นคำเดียวเขียนติดกันหรือมี hyphen – คั่น เมื่อเป็นพหูพจน์ให้เปลี่ยนเฉพาะนามตัวหลังตามกฎเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น girlfriend เปลี่ยนเป็นพหูพจน์เป็น girlfriends
2. คำนามประสมที่เกิดจากการผสมคำนามกับคำอื่น ๆ เช่น
adjective + noun.
noun + preposition + noun.
จะมีลักษณะเป็นคำเดียวเขียนติดกันหรือมี hyphen – คั่น เมื่อเป็นพหูพจน์ให้เปลี่ยนเฉพาะคำนามตามกฎเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น
adjective + noun : gentleman เป็น gentlemen
noun + preposition + noun. : father-in-law เป็น fathers-in-law
หลักการเปลี่ยนรูปคำนามจากเอกพจน์เป็นพหูพจน์
1. ถ้าเป็นคำนามทั่วไป จะต้องเติม s
2. คำนามที่ลงท้ายด้วย ch , sh , s , ss, x และ z ต้องเติม es
3. คำนามที่ลงท้ายด้วย o หน้า o เป็นพยัญชนะต้องเติม es
4. คำนามที่ลงท้ายด้วย y หน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม es แต่ถ้าเป็นคำนามที่ลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นสระให้เติม s
5. คำนามที่ลงท้ายด้วย f ,fe ให้เปลี่ยนเป็น ves
6. คำนามที่ต้องเปลี่ยนรูปเมื่อเป็นพหูพจน์ ได้แก่
– woman เปลี่ยนเป็น women
– tooth เปลี่ยนเป็น teeth
– mouse เปลี่ยนเป็น mice
– child เปลี่ยนเป็น children
7. คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ เมื่อเป็นพหูพจน์ต้องเติม s
8. ตัวอักษร, ตัวเลขเดี่ยว เมื่อเป็นพหูพจน์ต้องเติม ’s
9. อักษรตัวย่อและปี ค.ศ. เมื่อเป็นพหูพจน์ต้องเติม ’s หรือ s ซึ่งปัจจุบันนิยมใส่ s เท่านั้น
10. คำนามต่อไปนี้มีรูปเหมือนกันทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น
– deer = deer
– swine = swine
– salmon = salmon
– aircraft = aircraft
– species = species
11. คำนามต่อไปนี้ไม่เปลี่ยนรูปเป็นพหูพจน์เมื่อมีจำนวนนับประกอบข้างหน้า เช่น
dozen stone
gross head
foot hundredweight
hundred thousand
million score
12. คำนามบางคำเมื่อใช้ประกอบนามอีกตัวหนึ่ง แม้จะมีความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น a two-foot animal
13. คำนามที่มีรูปเอกพจน์ แต่มีความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น
people (ประชาชน) police (ตำรวจ)
minority (คนส่วนน้อย) gentry (พวกผู้ดี)
14. คำนามที่มีรูปพหูพจน์ แต่มีความหมายเป็นเอกพจน์ เช่น
news (ข่าว)
works (ผลงาน)
15. คำนามที่มีรูปพหูพจน์ และมีความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น
clothes (เสื้อผ้า)
goods (สินค้า)
16. คำนามบอกสัญชาติที่ลงท้ายด้วย ss , se นามเอกพจน์ และนามพหูพจน์จะใช้รูปแบบเดียวกัน เช่น
นามเอกพจน์ ใช้ a Swiss
นามพหูพจน์ ใช้ six Swiss