Adjective คืออะไร มีอะไรบ้าง สรุปคำคุณศัพท์ภาษาอังกฤษ
สรุป Adjective คำคุณศัพท์
Adjective คืออะไร มีอะไรบ้าง มีกี่ประเภท บทเรียนนี้อาจารย์ต้นอมรจะพามาทำความรู้จักกับคำคุณศัพท์ภาษาอังกฤษทั้งหมดอย่างครบถ้วนครับ ว่า Adjective คืออะไร มีกี่ประเภท มีอะไรบ้าง โดยสามารถกดอ่านหัวข้อที่สนใจได้เลยครับ
Adjective คืออะไร
Adjective คือ คำที่ไปทำหน้าที่ขยายคำนาม (Noun) หรือคำสรรพนาม (Pronoun) เพื่อให้ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมักจะวาง Adjective ไว้ข้างหน้าคำนาม (Noun) ที่จะขยาย หรือวางไว้หลัง Pronoun (คำสรรพนาม), Verb to be, และ Linking Verb เสมอ เพื่อบอกให้รู้ลักษณะ คุณภาพหรือคุณสมบัติของ Noun หรือ Pronoun นั้นว่าเป็นอย่างไร เช่น tall, short, small, big, beautiful, elegant, careful, intensive, possible เป็นต้น
Adjective มีอะไรบ้าง
Adjective คือ คำคุณศัพท์ โดยหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษหรือ Grammar ภาษาอังกฤษโดยทั่วไป สามารถแบ่ง Adjective ออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ คือ
1. Descriptive Adjective
Descriptive Adjective คือ คำคุณศัพท์แสดงลักษณะ ใช้เพื่อบอกลักษณะหรือคุณสมบัติของคำนามหรือคำสรรพนาม เช่น beautiful (สวย), rich (รวย), big (ใหญ่), tall (สูง), kind (ใจดี) ฯลฯ ตัวอย่างเช่น
- He has long legs. เขามีขาที่ยาว
2. Quantitative Adjective
Quantitative Adjective คือ คำคุณศัพท์ที่บอกปริมาณไม่แน่นอน ใช้ขยายคำนาม เพื่อบอกว่าคำนามนั้น ๆ มีจำนวนมากหรือน้อยเท่าไหร่ เช่น much (มาก), many (มาก), a lot of (มาก), all (ทั้งหมด), some (บ้าง, จำนวนหนึ่ง), little (เล็กน้อย) ฯลฯ ตัวอย่างเช่น
- There are many boys in the room. มีเด็กผู้ชายจำนวนมากอยู่ในห้อง
3. Numeral Adjective
Numeral Adjective คือ คำคุณศัพท์ที่บอกปริมาณที่แน่นอนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ คำคุณศัพท์ประเภทนี้จะบอกปริมาณเป็นตัวเลขต่าง ๆ ทั้งที่เป็นตัวเลข ลำดับ หรือจำนวนนับ เช่น one (หนึ่ง), two (สอง), three (สาม), first (อันดับที่หนึ่ง), second (อันดับที่สอง), third (อันดับที่สาม) ฯลฯ ตัวอย่างเช่น
- He is my first boyfriend. เขาเป็นแฟนคนแรกของฉัน
4. Proper Adjective
Proper Adjective คือ คำคุณศัพท์แสดงสัญชาติ ใช้เพื่อบอกสัญชาติของคำนาม โดยเปลี่ยนรูปมาจากคำนามประเภท Proper Noun หรือคำนามชี้เฉพาะที่เป็นชื่อประเทศ เวลาเขียนต้องขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ เช่น Thai (เกี่ยวกับไทย/ชาวไทย), American (เกี่ยวกับอเมริกา/ชาวอเมริกัน), British (เกี่ยวกับอังกฤษ/ชาวอังกฤษ), Japanese (เกี่ยวกับญี่ปุ่น/ชาวญี่ปุ่น) ฯลฯ ตัวอย่างเช่น
- I have an American boyfriend. ฉันมีแฟนเป็นชาวอเมริกัน
สรุปประเภทของ Adjective ทั้งหมด
ประเภทของ Adjective มีกี่ประเภท มีอะไรบ้าง
Demonstrative Adjective
ใช้เพื่อชี้เฉพาะ เช่น this, that, these, those, such
– This book is interesting. (หนังสือเล่มนี้น่าสนใจ)
Descriptive Adjective
ใช้บอกลักษณะ เช่น good, pretty, happy, sorry, rich
– She wore a beautiful dress to the party. (เธอสวมชุดที่สวยงามไปงานปาร์ตี้)
Distributive Adjective
ใช้เพื่อแบ่งแยก เช่น each, every, either, neither
– Every house on the street has a garden. (บ้านทุกหลังบนถนนมีสวน)
Emphasizing Adjective
ใช้เพื่อเน้นความ เช่น own, complete, total, extreme
– He built his own business from the ground up. (เขาสร้างธุรกิจของตัวเองตั้งแต่เริ่มต้น)
Exclamatory Adjective
ใช้เพื่อแสดงการอุทาน มักขึ้นต้นด้วย what
– What a beautiful sunset! (ช่างเป็นพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมาก!)
Interrogative Adjective
ใช้เพื่อเป็นคำถาม เช่น what, which, whose
– Which book did you choose? (คุณเลือกหนังสือเล่มไหน)
Numeral Adjective
ใช้บอกจำนวนหรือลำดับที่ เช่น one, three, first, second, double, triple
– There are three books on the table. (มีหนังสือสามเล่มอยู่บนโต๊ะ)
Possessive Adjective
ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น my, our, your, his, her
– The cat licked its paw. (แมวเลียอุ้งเท้าของมัน)
Proper Adjective
ใช้บอกสัญชาติ เช่น English, American, Thai, Indian, Korean
– American culture is diverse and dynamic. (วัฒนธรรมอเมริกันมีความหลากหลายและมีชีวิตชีวา)
Quantitative Adjective
ใช้บอกปริมาณ เช่น much, many, some, any, little
– There are many ways to solve this problem. (มีหลายวิธีในการแก้ปัญหานี้)
Relative Adjective
ใช้ขยายนามที่ตามหลัง พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นคำสันธานเชื่อมประโยคหลังของตัวเองเข้ากับประโยคข้างหน้า ได้แก่ what, whichever
– Please choose whichever option is most convenient for you. (โปรดเลือกตัวเลือกใดก็ได้ที่สะดวกที่สุดสำหรับคุณ)
Adjective Suffix คืออะไร มีอะไรบ้าง
Adjective Suffix คือ คำที่ลงท้ายแล้วทำให้คำนั้นทำหน้าที่ หรือมี Part of Speech เป็น Adjective (คำคุณศัพท์) ตัวอย่างเช่น
- -ive
- Creative (ซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์)
- Responsive (ที่ตอบสนอง)
- Assertive (ที่แสดงความมั่นใจ)
- Active (ที่กระตือรือร้น)
- Sensitive (ที่มีความไวต่อ)
- -able
- Comfortable (ที่สบาย)
- Dependable (ที่น่าเชื่อถือ)
- Remarkable (ที่น่าประทับใจ)
- Adaptable (ที่สามารถปรับตัวได้)
- Enjoyable (ที่น่าสนุก)
- -ible
- Flexible (ที่ยืดหยุ่น)
- Visible (ที่เห็นได้)
- Audible (ที่ได้ยิน)
- Responsible (รับผิดชอบ)
- Incredible (น่าพิศวง)
- -ous
- Dangerous (อันตราย)
- Delicious (อร่อย)
- Mysterious (ลึกลับ)
- Ambitious (ทะเยอทะยาน)
- Courageous (กล้าหาญ)
- -ent
- Independent (ซึ่งเป็นอิสระ)
- Persistent (ต่อเนื่อง)
- Confident (มั่นใจ)
- Excellent (ยอดเยี่ยม)
- Silent (เงียบ)
- -y
- Happy (มีความสุข)
- Cloudy (มีเมฆ)
- Rainy (ฝนตก)
- Windy (มีลม)
- Funny (ตลก)
- -al
- Historical (ประวัติศาสตร์)
- Magical (เวทมนตร์)
- Musical (ดนตรี)
- Critical (วิกฤต)
- Natural (ธรรมชาติ)
- -ful
- Colorful (สีสัน)
- Cheerful (ร่าเริง)
- Grateful (จงใจ)
- Careful (ระวัง)
- Peaceful (สงบ)
- -ish
- Childish (เด็กน้อย)
- Selfish (ตนเอง)
- Reddish (สีแดง)
- Smallish (ขนาดเล็ก)
- Girlish (สาวน้อย)
- -less
- Careless (ประมาท)
- Fearless (ไม่กลัว)
- Hopeless (ไม่มีหวัง)
- Endless (ไม่มีที่สิ้นสุด)
- Useless (ไร้ประโยชน์)
ตำแหน่งของ Adjective
1. อยู่หน้าคำนามที่มันไปขยาย เช่น
- strong man
strong เป็น Adjective ไปขยายคำนาม man เพื่อบอกว่าคำนามมีลักษณะอย่างไร
- easy assignment
easy เป็น Adjective ไปขยายคำนาม assignment เพื่อบอกคุณลักษณะของคำนาม assignment
2. อยู่หลังคำนามหรือสรรพนาม (เช่น someone, somebody, something, anyone, anything เป็นต้น) ที่ไปขยาย เช่น
- I have something important to tell him.
important เป็น Adjective เมื่อไปขยายคำสรรพนามกลุ่มนี้ ต้องวางข้างหลังเสมอ
3. อยู่หลัง Verb to be และ Linking Verb เช่น
- The water appears clear.
clear เป็น Adjective เวลาใช้ต้องวางไว้หลัง Verb to be หรือ Linking Verb ในประโยคนี้ linking verb คือ appears