สรุป Reported Speech คืออะไร มีอะไรบ้าง
Reported Speech ภาษาอังกฤษ
Reported Speech คืออะไร
Reported Speech คือ การนำคำพูดของคนอื่น (ประโยคต้นฉบับ) มาเล่าต่อ ประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ
- Reporting Clause (ส่วนที่ผู้พูดใช้เกริ่นประโยค จะมีชื่อคนหรือคำสรรพนามที่เป็นเจ้าของประโยคต้นฉบับ มีคำกริยารายงานต่าง ๆ หรือเรียกว่า Reporting Verb เช่น said, replied, told (that) รวมถึง comma (,) ด้วย)
- Reported Clause (ส่วนประโยคของคนอื่นที่ผู้พูดนำมาเล่าต่อ)
Reported Speech มีอะไรบ้าง
Reported Speech มี 2 ประเภทด้วยกันคือ Direct Speech และ Indirect Speech ดังนี้
1. Direct Speech
คือ การยกคำพูดของคนอื่นไปเล่าต่อตรง ๆ โดยไม่มีการปรับประโยคต้นฉบับเลย เพียงแต่ผู้พูดต้องเพิ่มส่วน Reporting Clause (ส่วนที่ผู้พูดใช้เกริ่นประโยค) เข้ามา และเปลี่ยนชื่อคน หรือคำสรรพนามให้ถูกต้อง นอกจากนี้ประโยค Direct Speech ยังมีวิธีสังเกตง่าย ๆ คือ มักมีเครื่องหมายคำพูด (Quotation Marks) ” .. ” ในประโยค ซึ่งประโยคใน ” … ” ต้องขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ
วิธีเปลี่ยนคำกริยารายงาน (Reporting Verb)
Direct Speech => Indirect Speech
says => says (that)
said => said (that)
say to + คน => tell + คน + (that)
said to + คน => told + คน + (that)
replies => replies (that)
2. Indirect Speech
คือ การนำคำพูดของคนอื่นมาปรับเล็กน้อยก่อนนำไปเล่าต่อ และจะไม่มีเครื่องหมายคำพูด (Quotation Marks) ” … ” ในประโยค
ประเภทของ Indirect Speech แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
- ประโยคบอกเล่า หรือปฏิเสธ
- ประโยคคำสั่ง แนะนำ ขออนุญาต หรือขอร้อง
- ประโยคคำถาม
1. ประโยคบอกเล่า หรือปฏิเสธ มีวิธีการปรับประโยค คือ
1. ระบุชื่อคน หรือ คำสรรพนามให้ถูกต้อง
ใช้วิธีเดียวกับ Direct Speech คือ เปลี่ยนชื่อคน หรือคำสรรพนามทั้งใน Reporting Clause และ Reported Clause ให้ถูกต้องตามบริบท อย่างเช่น ถ้าเดิมบุคคลนั้นพูดว่า I อาจเปลี่ยนเป็น he, she, you, Mr. John, Mrs. Lopez หรือถ้าใช้คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น my ก็จะต้องเปลี่ยนเป็น his หรือ her ด้วยเช่นกัน
2. เพิ่มคำกริยารายงาน (Reporting Verb)
เช่น Tony said (that) …
3. ตัด comma (,) และเครื่องหมายคำพูด (” … “)
4. เปลี่ยนกาล (Tense) ให้เป็นอดีตกว่าเดิม
การเปลี่ยน Direct Speech เป็น Indirect Speech จะมีความเกี่ยวข้องกับกาล (Tense) โดยตรง เพราะคำพูดที่เราได้ยินคนอื่นพูดก่อนนำมาเล่าต่อนั้นจบลงไปแล้วในอดีต ดังนั้นประโยค Indirect Speech จึงต้องเปลี่ยนเวลาให้เป็นอดีตตามด้วย โดยมีหลักการเปลี่ยนกาล (Tense) ให้มีความเป็นอดีตมากยิ่งขึ้น ดังนี้
- Present Simple เปลี่ยนเป็น Past Simple
- Present Continuous เปลี่ยนเป็น Past Continuous
- Present Perfect เปลี่ยนเป็น Past Perfect
- Present Perfect Continuous เปลี่ยนเป็น Past Perfect Continuous
- Past Simple เปลี่ยนเป็น Past Perfect
- Past Continuous เปลี่ยนเป็น Past Perfect Continuous
- NOTE! Past Perfect และ Past Perfect Continuous ไม่มีการเปลี่ยนรูป
- Future Simple เปลี่ยน will ในประโยคให้เป็น would
การเปลี่ยน Modal Verbs อื่น ๆ เช่น
- will เปลี่ยนเป็น would
- shall เปลี่ยนเป็น should
- can เปลี่ยนเป็น could
- may เปลี่ยนเป็น might
- must เปลี่ยนเป็น had to
NOTE! หาก Modal Verbs ในประโยคเป็นรูปอดีตอยู่แล้ว เช่น would, could, should, might ให้ใช้รูปเดิม
5. ปรับคำระบุช่วงเวลาให้ไกลขึ้น
เมื่อทำประโยคให้เป็น Indirect Speech ให้ปรับคำระบุเวลาต่าง ๆ ให้เป็นอดีตมากขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่น
- tonight เปลี่ยนเป็น that night
- today เปลี่ยนเป็น that day
- yesterday เปลี่ยนเป็น the day before / the previous day
- tomorrow เปลี่ยนเป็น the next day / the following day
- last month เปลี่ยนเป็น the month before / the previous month
- next year เปลี่ยนเป็น the following year / the year after
6. เปลี่ยนคำระบุสถานที่ให้ไกลขึ้น
เมื่อทำประโยคให้เป็น Indirect Speech ให้เปลี่ยนคำระบุสถานที่ให้ไกลขึ้นกว่าเดิม ตัวอย่างเช่น
- here เปลี่ยนเป็น there
- this เปลี่ยนเป็น that
- these เปลี่ยนเป็น those
ตัวอย่าง
2. ประโยคคำสั่ง แนะนำ หรือขอร้อง
มีวิธีปรับประโยคเหมือนกับข้อ 1.) ประโยคบอกเล่า หรือปฏิเสธ เพียงแต่ต่างกันตรงที่ประโยคคำสั่ง แนะนำ หรือขอร้องจะเพิ่มวิธีปรับประโยค 2 วิธีนี้เข้าไปด้วย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
* ใช้คำกริยารายงาน (Reporting Verb) ที่เกี่ยวข้องกับประเภทของประโยค
นอกจาก says หรือ said รวมถึงคำกริยาอื่น ๆ ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว ประโยคคำสั่ง แนะนำ หรือขอร้อง ยังสามารถใช้คำกริยาที่แสดงถึงคำสั่ง แนะนำ หรือขอร้องได้ด้วย He requests / requested / tells / told / orders / ordered me …
* ใช้โครงสร้าง to / not to + V. infinitive
ถ้า Direct Speech เป็นประโยคคำสั่ง แนะนำ หรือขอร้องให้ทำบางสิ่งบางอย่าง ประโยค Indirect Speech จะใช้ to + V. infinitive
ถ้า Direct Speech เป็นประโยคคำสั่ง แนะนำ หรือขอร้องให้ไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง ประโยค Indirect Speech จะใช้ not to + V. infinitive
3. ประโยคคำถาม
มีวิธีการปรับประโยคเหมือนกับประโยคทั้งสองแบบก่อนหน้านี้ แต่การปรับประโยคคำถามจะมีขั้นตอนวิธีปรับประโยคเพิ่มไปอีก 4 วิธี ดังนี้
* ตัดเครื่องหมายคำถาม (?) ออก เพื่อเปลี่ยนเป็นรูปประโยคบอกเล่า
* ใช้คำกริยารายงาน (Reporting Verb) ที่เกี่ยวข้องกับประเภทของประโยค นอกจากคำกริยาที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว ประโยคคำถามยังสามารถใช้คำกริยาที่แสดงถึงการถามได้เช่นกัน อย่างเช่น He asks …, He asked …
* เชื่อมประโยคด้วย if, whether, whether or not, whether … or not to ถ้าประโยคคำถามขึ้นต้นด้วย Verb to be, Verb to do, Verb to have และคำกริยาช่วยอื่น ๆ
* เชื่อมประโยคด้วย Question Words ในกรณีที่ประโยคคำถามขึ้นต้นด้วย Question Words